มารู้จักกับพืชสมุนไพร 13 ชนิดที่ประกาศว่าอันตราย ตอนที่ 1
โดย… นางสาวนภาพันธุ์ เรืองสเถียรทนต์
จากกรณีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2552 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 กำหนดให้ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่สามารถนำไปใช้ป้องกัน กำจัด ทำลาย ควบคุม วัชพืช โรคพืช แมลงศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืชซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ตะไคร้หอม ขมิ้นชัน ขิง ข่า ดาวเรือง สาบเสือ กากเมล็ดชา พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายหยาก จัดเป็นวัตถุอันตราย ชนิดที่ 1 บัญชี ข. ซึ่งประกาศดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก และในเวลาต่อมาได้มีการทบทวนวิธีการประกาศโดยมีข้อเสนอให้ถอนรายชื่อพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดออกมาก่อน จากข่าวดังกล่าวคงทำให้หลายคนอยากทราบถึงลักษณะทั่วไป รวมไปถึงประโยชน์และสรรพคุณของสมุนไพรทั้ง 13 ชนิด ซึ่งได้รวบรวมไว้ดังนี้
1. สะเดา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Azadirachta siamensis
วงศ์ MELIACEAE
ชื่ออื่น Holy tree, Pride of China, Indian Margosa Tree, Neem Tree. กะเดา สะเลียม จะตัง ไม้เดา
สะเดาเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 8-15 เมตร ลักษณะเรือนยอดเป็นพุ่มกลม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกเรียงสลับ ขอบใบหยัก ลักษณะดอกเป็นช่อดอกมีขนาดเล็กสีขาว
เนื้อไม้ของสะเดามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับไม้สัก มีการนำสะเดาไปใช้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น ใช้ในการปลูกบ้านหรือทำเฟอนิเจอร์ สารสกัดจากใบสะเดามีฤทธิ์ในการป้องกันและกำจัดแมลง น้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดสะเดาสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสบู่ ยาสีฟัน เป็นยารักษาโรคผิวหนัง โรคปวดตามข้อ นอกจากนี้ยอดอ่อนและดอกสะเดาสามารถนำมารับประทานได้
ภาพที่ 1 สะเดา
2. ตะไคร้หอม
ตะไคร้หอมเป็นพืชตระกูลเดียวกับตะไคร้บ้าน (ตะไคร้แกง)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon nardus Rendle.
วงศ์ GRAMINEAE
ชื่ออื่น Citronella grass ตะไคร้แดง จะไคมะขูด หรือตะไคร้มะขูด
ตะไคร้หอมจัดเป็นพืชล้มลุก สูงประมาณ 1-2 เมตรมีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นตั้งตรง ขึ้นเป็นกอประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ลักษณะคล้ายกับตะไคร้บ้านแต่ใบยาวกว่าและลำต้นมีสีแดง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ลักษณะดอกเป็นช่อดอกแยกออกเป็นแขนง
น้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้จากใบและกาบ ของตะไคร้หอมสามารถไล่ยุงและแมลงบางชนิดได้ นอกจากนี้ยังใช้แต่งกลิ่นในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น สบู่ แชมพู ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ภาพที่ 2 ตะไคร้หอม
3. ขมิ้นชัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa L.
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น Turmeric ขมิ้น ขี้มิ้น ขมิ้นทอง ขมิ้นดี ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก
ขมิ้นชันจัดเป็นพืชล้มลุก สูงประมาณ 30 -90 เซนติเมตร มีเหง้ารูปไข่อยู่ใต้ดิน มีแขนงแตกออกด้านข้างทั้งสองด้าน เนื้อในเหง้ามีสีเหลืองส้ม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงซ้อนสลับกัน ใบรูปรี ผิวใบเรียบ ลักษณะดอกเป็นช่อดอกแทงตรงออกมาจากเหง้าแทรกอยู่ระหว่างภายในกลีบดอกรูปกรวยสีขาวนวล
ขมิ้นชันมีสารสีเหลืองหรือสารเคอร์คิวมิน (curcumin) ใช้แต่งสีอาหารได้ ในทางยาใช้ผงเหง้าขมิ้นชันทาแก้โรคผิวหนังผื่นคัน และใช้กำจัดแมลงบางชนิดได้อีกด้วย
ภาพที่ 3 ขมิ้นชัน
4. ขิง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Zingiber officinale Roscoe
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น Ginger ขิงแกลง ขิงแดง ขิงเผือก สะเอ ขิงแครง
ขิงจัดเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน เปลือกนอกสีน้ำตาลแกมเหลือง เนื้อในมีสีขาวแกมเหลือง หน่อหรือลำต้นขึ้นเป็นกอประกอบด้วยกาบหรือโคนใบหุ้มซ้อนกัน ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับกันเป็นสองแถว ใบมีลักษณะคล้ายใบไผ่ ปลายใบเรียวแหลม ลักษณะดอกเป็นช่อดอกสีขาว ขิงจัดเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับข่า ขมิ้น กระชาย
ขิงเป็นทั้งพืชสุมนไพรและเครื่องเทศ มีสารที่ให้รสเผ็ดคือสารจิงเจอรัล (gingerol) และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวจากน้ำมันหอมระเหย ขิงที่นำมาประกอบอาหารมีหลายรูปแบบ เช่น ขิงสด ขิงดอง ขิงแห้ง ขิงผง รวมทั้งน้ำขิงที่เป็นเครื่องดื่ม มีสรรพคุณ เช่น รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน รักษาอาการไอที่มีเสมหะ เหง้าขิงสดตำละเอียดผสมน้ำใช้ฉีดพ่นกำจัดแมลงได้
ภาพที่ 4 ขิง
5. ข่า
ชื่อวิทยาศาสตร์ Alpiniagalanga L.
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่ออื่น Galingale, Galanga กฏุกกโรหินี ข่าหยวก ข่าหลวง
ข่าจัดเป็นพืชล้มลุก ขึ้นเป็นกอ ต้นสูงประมาณ 1.5-2.5 เมตร มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เหง้ามีสีน้ำตาลอมแสด มีข้อและปล้องชัดเจน เนื้อในเหง้ามีสีขาวมีรสเผ็ดและกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปใบหอกหรือรูปขอบขนานแกมใบหอก ลักษณะดอกเป็นช่อดอกสีขาวนวล ดอกออกที่ปลายยอด
ข่าเป็นเครื่องเทศที่ใช้แต่งกลิ่นอาหารเพิ่มรสชาติ ดอกและลำต้นอ่อนใช้รับประทานเป็นผักสด สารสกัดจากข่ามีสรรพคุณด้านการรักษาโรค เช่น รักษากลากเกลื้อน รักษาโรคปวดบวมตามข้อ รักษาโรคหลอดลมอักเสบ ใช้เป็นยาถ่ายและยาขับลม นอกจากนี้พบว่าน้ำมันหอมระเหยจากเหง้ามีฤทธิ์ในการกำจัดแมลงเช่นเดียวกับขิง
ภาพที่ 5 ข่า
6. ดาวเรือง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Tagetes erecta L.
วงศ์ COMPOSITAE
ชื่ออื่น Marigold ดอกคำพู่จู้ พอทู
ดาวเรืองจัดเป็นพืชล้มลุกทรงพุ่ม มีความสูงตั้งแต่ 30–60 เซนติเมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้ามกัน ใบรูปรี ลักษณะดอกเป็นช่อดอกกระจุกอยู่ที่ปลายยอด มีสีเหลืองหรือสีส้ม มีกลิ่นหอม
ดอกดาวเรืองใช้ประดับตกแต่งเพื่อความสวยงาม มีการนำสารสกัดจากดอกดาวเรืองมาใช้รักษาอาการอักเสบของผิวหนังและแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ในกลีบดอกดาวเรืองมีสารสีเหลืองที่เรียกว่าแซนโทฟิลล์ (xanthophyll) สูง จึงมีการปลูกเพื่อเก็บดอกนำไปเป็นส่วนผสมของอาหารไก่ไข่เพื่อให้ไข่แดงมีสีแดงสวยทดแทนสารสังเคราะห์ นอกจากนี้ภายในรากของดาวเรืองมีสารชนิดหนึ่งคือ แอลฟ่า เทอร์เธียนิล (& – terthienyl) ซึ่งเป็นสารที่สามารถควบคุมปริมาณไส้เดือนฝอยในดินได้เป็นอย่างดี
7. สาบเสือ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Eupatorium odoratum L.
วงศ์ COMPOSITAE
ชื่ออื่น Bitter bush, Siam weed ผักคราด ฝรั่งรุกที่ หญ้าค่าพั้ง หญ้าดงร้าง หญ้าดอกขาว หญ้าฝรั่งเศส
สาบเสือจัดเป็นพืชล้มลุก แตกกิ่งก้านสาขามากมายจนดูเป็นทรงพุ่ม ลำต้นและกิ่งก้านปกคลุมด้วยขนอ่อนนุ่ม ก้านและใบเมื่อขยี้จะมีกลิ่นแรงคล้ายสาบเสือ มีลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกจากลำต้นที่ข้อแบบตรงกันข้าม รูปรี ขอบใบหยัก ปลายใบแหลม ใบมีสีเขียวอ่อน มีขนปกคลุมผิวใบทั้งสองด้าน ลักษณะดอกเป็นช่อดอกสีขาวหรือฟ้าอมม่วง กลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด ส่วนปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ผลมีขนาดเล็ก รูปร่างเป็นห้าเหลี่ยมสีน้ำตาลหรือดำ มีหนามแข็งบนเส้นของผล ส่วนปลายผลมีขนสีขาวช่วยพยุงให้ผลและเมล็ดปลิวไปตามลม
สาบเสือเป็นสมุนไพรอย่างหนึ่งที่หาง่าย มีอยู่ทั่วไป ใช้ป้องกันและกำจัดแมลง ต้นสาบเสือเมื่อนำมาสกัดด้วยไอน้ำจะได้สารที่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการงอกของเมล็ดพืชได้หลายชนิด เช่น ข้าว โสน พริก ข้าวโพด นอกจากนี้ต้นสาบเสือยังใช้เป็นดรรชนีชี้วัดความแห้งของอากาศ เพราะต้นสาบเสือจะออกดอกเมื่อมีสภาพอากาศที่แห้ง
ภาพที่ 7 สาบเสือ
10,393 total views, 2 views today