เรื่องของ “แอล-คาร์นิทีน”

เขียนโดย biology เมื่อ . หัวข้อ บทความ, บทความปี 2548

48-8-1

                           

สุทธิพงษ์ พงษ์วร

            ในสังคมวิทยาศาสตร์ เราควรจะสร้างและส่งเสริมนิสัยของความอยากรู้อยากเห็น อยากทำความเข้าใจ อยากค้นหามาให้ได้ซึ่งคำตอบให้กับคนในสังคม และในแต่ละวันก็จะมีเรื่องให้ชวนคิดชวนสงสัยมากมาย จนมากระทั่งวันหนึ่ง ในวันที่ได้ยินชื่อแอล-คาร์นิทีน (L-carnitine) เป็นครั้งแรก ครั้งแรกที่ได้ยินก็มาจากสื่อโฆษณา ทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาในทันทีหลังจากที่ดูสื่อโฆษณานั้นจบ ว่าทำไมกินแอล-คาร์นิทีนเข้าไปแล้วถึงเกิดอาการแอคทีฟ จนอยู่นิ่งไม่ได้ ขนาดจะคุยกันดีๆ ไม่ได้ จะต้องขยับแข้งขยับขาอยู่ตลอดเวลา คนสร้างสื่อต้องการสื่อสารอะไรกับผู้บริโภค 
               หรือเพียงจะบอกว่า ดื่มแล้ว กินแล้วจะมีแรงมากขึ้น จะรู้สึกคึกคัก… 
               เรี่ยวแรงมันมาจากไหน แรงมันเยอะเหลือเกินหรืออย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หรือว่าเป็นเครื่องดื่มประเภทชูกำลังเหรอ เอ๊ะ! คิดแล้วยิ่งอยากรู้ แต่…ในที่สุด ก็ขอผัดวันประกันพรุ่งเอาไว้ก่อน ตั้งใจว่าจะจำไว้ แล้วขอไปค้นหาในวันหน้า แต่ในใจก็ยังสงสัย สุดท้ายวันนี้ก็ได้ฤกษ์เบิกยาม เข้ามาค้นมาหาข้อมูลด้วยความอยากรู้ และความสงสัยทำไมแอล-คาร์นิทีนถึงฮือฮากันนัก แล้วทำไมในโฆษณา เมื่อกินแล้วมันอยู่นิ่งไม่ได้เลย 
                คำตอบที่ได้จากความสงสัยว่าแอล-คาร์นิทีน คืออะไร 
               แอล-คาร์นิทีน เป็นชื่อของสารตัวหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกายของเรานี่เอง โดยสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโน 2 ตัว คือ ไลซีน (lysine) และเมไทโอนีน (methionine) และแอล-คาร์นิทีนในร่างกายของเราก็ถูกใช้ไปในหน้าที่ต่างๆ หลายอย่าง เช่น เข้าไปช่วยเพิ่มกระบวนการใช้ไขมัน (fat) โดยการขนส่งกรดไขมัน (fatty acid) เข้าไปในไมโทคอนเดรีย (ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการสร้างพลังงานของเซลล์) หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ แอล-คาร์นิทีนช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนกรดไขมันไปเป็นพลังงานนั่นเอง ซึ่งพลังงานที่ได้มานี้ส่วนใหญ่ก็จะถูกใช้สำหรับการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเรานั่นเอง จากหน้าที่การทำงานพื้นฐานของสารชนิดนี้ทำให้สื่อโฆษณานำมาใช้เป็นประเด็นหลักในการสร้างโฆษณาในเห็นว่า “เมื่อกินแล้วคุณจะอยู่นิ่งไม่ได้นะ แบบว่าพลังงานมันเยอะจัด”

48-8-2

               แอล-คาร์นิทีนถูกสร้างขึ้นภายในตับและไต และนำไปเก็บไว้ในกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle) ตัวอย่าง ก็เช่น กล้ามเนื้อตามแขน ขา ของเรานั่นเอง นอกจากนี้ยังถูกลำเลียงไปเก็บไว้ในหัวใจ สมอง และสเปิร์ม (ทำให้สเปิร์มเคลื่อนที่ได้อย่างเหมาะสม เพราะแอล-คาร์นิทีนจะไปเร่งให้ไมโทคอนเดรียเปลี่ยนไขมันมาเป็นพลังงานนั่นเอง) สำหรับในอาหารก็จะพบแอล-คาร์นิทีนในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ผลอะโวคาโด (Avocado) ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วหมัก (tempeh)

48-8-3

จะเกิดภาวะการขาดแอล-คาร์นิทีนได้อย่างไร 
              คนที่ทานมังสะวิรัชอาจจะเกิดภาวะการขาดแอล-คาร์นิทีนได้ในบางครั้ง เนื่องจากแอล-คาร์นิทีน พบได้ในเนื้อสัตว์ นม และถั่วหมัก หรือในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมของระบบย่อยอาหาร รวมไปถึงในกรณีที่มีผู้ป่วยที่ขาดแอล-คาร์นิทีน (ซึ่งพบน้อยมาก) ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของยีน หรือตับ หรือไต หรือกินอาหารที่มีกรดอะมิโนไลซีน และเมไทโอนีนน้อย ก็จะมีอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ เจ็บหน้าอก เจ็บกล้ามเนื้อ แขนขาล้าอ่อนแรง ความดันเลือดต่ำ และอาจจะมีอาการมึนงงสับสนร่วมด้วย เป็นต้น รูปแบบของคาร์นิทีนที่มีการนำมาใช้ 
             คาร์นิทีนที่ถูกนำมาใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมจะมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ที่ใช้กันแพร่หลายมีอยู่ 3 รูปแบบ รูปแบบแรกก็คือ แอล-คาร์นิทีน (LC) เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย และมีราคาถูกที่สุด รูปแบบที่สอง คือ แอล-อะซิทิลคาร์นิทีน [L-acetylcarnitine (LAC)] เป็นเพียงรูปแบบเดียวที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคแอลไซเมอร์ (Alzheimer) และโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของสมองโรคอื่นๆ 
               
รูปแบบสุดท้าย คือ แอล-โพรพิโอนิลคาร์นิทีน [L-propionylcarnitine (LPC)] ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาอาการเจ็บหน้าอกและโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และใช้ได้ผลดีกับโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดตามแขนขาอีกด้วย (peripheral vascular disease – PVD)

48-8-4

การดูดซึมคาร์นิทีนของร่างกาย 
                    ถ้าเรากินเข้าไป การดูดซึมของแอล-คาร์นิทีนจะเกิดขึ้นในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ ส่วนแพทย์สามารถให้คาร์นิทีนกับผู้ป่วยได้ทั้งทางเส้นเลือดและโดยการกิน

10 เหตุผลที่ควรรู้ก่อนเลือกกินคาร์นิทีน (Carnitine)

    1. คาร์นีทีนทำให้เราแก่ช้าลง แค่เหตุผลแรกก็ชวนให้เราหลงใหลใคร่อยากที่จะกินคาร์นิทีน กันแล้วสิ ที่คาร์นิทีนทำให้แก่ช้าลงได้ ก็เพราะเหตุผลที่ว่า เซลล์ในร่างกายของเราทุกๆ เซลล์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์สมอง เซลล์จากระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์จากหัวใจ หรือเซลล์จากที่อื่นๆ ในร่างกาย ทั้งหมดจะทำงานได้ดีก็ต่อเมื่อ ได้รับพลังงานเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของเซลล์แต่ละชนิด และคาร์นิทีนนี่เองที่เข้าไปช่วยทำให้เซลล์มีอายุยืนนานขึ้น

    2. คาร์นิทีนทำให้ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ (triglycerides) อยู่ในระดับที่ต่ำ และช่วยเพิ่มระดับ HDL-คลอเรสเตอรอล ในเลือด

    3. นอกจากนี้ คาร์นิทีนยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ โดยมีผลทำให้สุขภาพโดยรวมของหัวใจดีขึ้น และช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวด้วย (ซึ่งเป็น 1/3 ของสาเหตุที่ทำให้คนเป็นโรคหัวใจตาย)

    4. คาร์นิทีนช่วยทำให้น้ำหนักลด โดยเฉพาะถ้าใช้ร่วมกันวิธีการที่เราลดอาหารจำพวกแป้งลงในอาหารแต่ละมื้อ

    5. คาร์นิทีนช่วยเพิ่มระดับพลังงานของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือเกิดความเสียหายใดๆ กับร่างกาย เหมือนกันที่พบในสารสกัดจากพืชสกุล Ephedra (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของกระทรวงอาหารและยาของอเมริกา ในเอกสารอ้างอิงครับ)

    6. และยังพบอีกว่าคาร์นิทีนช่วยให้ความสามารถในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น มีความทนทานมากขึ้น และป้องกันเนื้อเยื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปริมาณออกซิเจนในเซลล์ไม่เพียงพอ

    7. ทั้งคาร์นีทีน และ อะซีทิล-แอล-คาร์นิทีน (Acetyl-L-carnitine) ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น

    8. อะซีทิล-แอล-คาร์นิทีนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ประสาทอันเนื่องมาจากความเครียด และอาจจะมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) ด้วย แต่ได้ผลเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุน้อย ทำให้อาการของโรคไม่เป็นไปมากกว่านี้

    9. อะซีทิล-แอล-คาร์นิทีน มีผลต่อสุขภาพจิตในทางบวก และลดภาวะความเครียดได้

    10. คาร์นิทีนช่วยในการทำงานของตับ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของเราด้วย

                    ข้อควรระวังในการใช้แอล-คาร์นิทีน 
                    สำหรับคนที่คิดจะซื้อแอล-คาร์นิทีนมาใช้ควรต้องระวังเพราะอาจจะมีผลข้างเคียงต่างๆ เกิดขึ้นกับร่างกายได้ และอาจจะเข้าทำปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ที่กินร่วมกัน ดังนั้น ในการใช้แต่ละครั้ง ควรต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์จะปลอดภัยกว่า 
                    ข้อควรจำให้ขึ้นใจก็คือสสารทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษในตัวเอง ขึ้นกับปริมาณและช่วงจังหวะเวลาของการใช้ ถึงแม้ว่าแอล-คาร์นิทีนจะไม่ปรากฏผลข้างเคียงใดๆ ที่เด่นชัดมากนัก แต่ก็มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าถ้ากินเข้าไปมากขนาด 5 กรัมต่อวัน หรือมากกว่าอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ (ต้องอย่าลืมว่าเราได้แอล-คาร์นิทีนจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์และนมอยู่แล้วด้วย ซึ่งเราไม่สามารถทราบปริมาณที่แน่นอนได้) ส่วนอาการข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจจะพบได้บ้างก็เช่นมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีกลิ่นตัว และเกิดมีผื่นแดง และในนักกีฬาหรือคนที่กินแอล-คาร์นิทีนเสริมสำหรับการเล่นกีฬาเพื่อช่วยในการสลายไขมันและช่วยทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อดีขึ้น ก็ควรจะต้องหยุดใช้เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักบ้างอย่างน้อยเดือนละ 1 อาทิตย์ คือไม่ควรใช้ต่อเนื่องติดต่อกันไปเป็นเวลานานๆ 
                    
สำหรับคนที่มีอาการแพ้ต่ออาหารโปรตีน เช่น ไข่ นม หรือข้าวสาลี ไม่ควรกินผลิตภัณฑ์ที่เสริมแอล-คาร์นิทีนเป็นอันขาด รวมไปถึงคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับและไต เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 2 ขวบ และสตรีมีครรภ์ ก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ถ้าไม่จำเป็น หรือใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ครับ

 

 


 

 

เอกสารอ้างอิง 
1. Carnitine (L-Carnitine). Medical Center, University of Maryland. (Online). Available : 
           http://www.umm.edu/altmed/ConsSupplements/CarnitineLCarnitinecs.html 
           (Retrieved 7/04/05) 
2. L-Carnitine information – The Vitamins and Nutrition Center. (Online). Available : 
           http://www.vitamins-nutrition.org/vitamins-guide/l-carnitine.html 
           (Retrieved 7/04/05) 
3. L-Carnitine. (Online). Available : http://www.paulun.se/paulun_pop.asp?idContent=264 
           (Retrieved 8/04/05) 
4. What is the difference between L-Carnitine and Acetyl L-Carnitine? (Online). Available : 
           http://www.iherb.com/lcarnitine.html 
           (Retrieved 7/04/05) 
5. Top 10 reasons to take Carnitine. (Online). Available : http://www.iherb.com/ctop10.html 
           (Retrieved 7/04/05) 
6. FDA announces plans to prohibit sales of dietary supplements containing Ephedra. 
           (Online). Available : http://amphetamines.com/ephedrine/ephedra-ban.html 
           (Retrieved 7/04/05) 
7. FDA issues final rule banning Ephedra. (Online). Available : 
           http://www.herbalgram.org/default.asp?c=FDA_Ban (Retrieved 7/04/05)

 

 

 7,304 total views,  2 views today